ธรณีประวัติ — October 30, 2009 at 11:38 AM

Charles Lyell – บิดาของธรณีวิทยา

by
หลายคนอาจจะรู้จักชาร์ลส์ ดาร์วิน เป็นอย่างดีในฐานะนักวิทยาศาสตร์และปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ดังที่ GT เคยเสนอเรื่องราวของดาร์วินไปแล้วนั้น แต่ใครจะรู้บ้างว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังและส่งอิทธิพลต่อความสำเร็จของดาร์วินนั้นคือ ชาร์ลส์ ไลแอล (Charles Lyell) ผู้ซึ่งได้รับขนานนามว่าเป็น “บิดาของธรณีวิทยา” ผลงานหนังสือหลักธรณีวิทยา “The principles of geology” ของเขานั้นเป็นผลงานชิ้นเอกที่มีความสำคัญต่อวงการธรณีเป็นอย่างมาก และหนังสือนี้เองที่ทำให้ดาร์วินเข้าถึงหลักกระบวนการคิดในเชิงธรณีวิทยาอย่างแท้จริง 
บทความโดย ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว. “Charles Lyell : นักธรณีวิทยาผู้เป็นที่ปรึกษาของ Charles Darwin
ซ้าย Darwin กลาง Lyell ขวา Hooker ขณะกำลังอ่านจดหมายของ Wallace 
เมื่อ Charles Darwin เขียน Origin of Species เขาอ้างว่าครึ่งหนึ่งของเนื้อหาที่ปรากฏในหนังสือเป็นสิ่งที่ได้มาจากมันสมองของ Charles Lyell

ทุกวันนี้โลกรู้จัก Charles Lyell ในฐานะบิดาของธรณีวิทยา ผู้ได้วางรากฐานด้านธรณีวิทยาให้แก่ Charles Darwin และ Alfred Russel Wallace ในการสร้างทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ในขณะที่ยังหนุ่ม Lyell ได้เดินทางเผยแพร่ความรู้ด้านธรณีวิทยาให้นักวิชาการชาวยุโรปและอเมริกามีความรู้เรื่องนี้ จนทำให้เขาเป็นนักธรณีวิทยาที่ใครๆ ก็รู้จักและเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลก

ในสมัยที่ Lyell จะเริ่มศึกษาธรณีวิทยา ปรากฏการณ์แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดเป็นเรื่องลึกลับที่ขึ้นกับพระอารมณ์ของเทพยดาฟ้าดินเท่านั้น แต่ Lyell ได้แสดงให้ทุกคนเห็นและเข้าใจว่า ธรณีที่อยู่ใต้โลกเป็นสิ่ง “มีชีวิต” ที่เคลื่อนไหวได้ จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว

Charles Lyell เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2340 (รัชสมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) ที่เมือง Kinnordy ในสกอตแลนด์ ครอบครัวนี้มีลูก 10 คน โดยมี Lyell เป็นคนหัวปี บิดาเป็นนักพฤกษศาสตร์ที่สนใจประวัติศาสตร์มาก ในวัยเด็ก Lyell ได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนในเมือง Ringwood, Salisbury และ Midhurst ในยามว่างเขาชอบเก็บสะสมแมลง นั่งใจลอย เล่นหมากรุกและปีนต้นไม้ได้อย่างคล่องแคล่ว เมื่ออายุ 19 ปี Lyell ได้เข้าเป็นนิสิตที่ Exeter College แห่งมหาวิทยาลัย Oxford และมี William Buckley เป็นอาจารย์สอนวิชาธรณีวิทยาให้ ซึ่งได้ทำให้ Lyell หลงใหลในวิชานี้มาก จนถึงกับตัดสินใจจะดำเนินชีวิตเป็นนักธรณีวิทยา ทั้งๆ ที่บิดาตั้งใจให้ลูกชายเป็นนักกฎหมาย ซึ่งในตอนแรก Lyell ก็ได้ตามใจ โดยท่องและอ่านตำรากฎหมายจนสายตาเกือบเสีย

เมื่ออายุ 21 ปี Lyell ได้เดินทางไปยุโรปกับครอบครัว ซึ่งการทัวร์ยุโรปนี้เป็นประเพณีที่คนร่ำรวยในสมัยนั้นนิยมทำกัน การท่องเที่ยวกับบิดามารดา และน้องสาวที่ดำเนินไปอย่างช้าๆ ทำให้ Lyell ได้มีโอกาสเห็นภูเขา หิมะ และธารน้ำแข็งบนเทือกเขา Alps อย่างใกล้ชิด จึงได้ศึกษาสภาวะทางธรณีวิทยาของภูมิประเทศนี้ และได้เขียนบทความทางธรณีวิทยาชิ้นแรกในชีวิตก่อนเดินทางกลับอังกฤษ

เมื่ออายุ 24 ปี Lyell ได้รับปริญญา M.A. ทางกฎหมาย และได้เดินทางมาลอนดอนเพื่อเตรียมตัวเป็นทนายความ ในขณะเดียวกันเขาก็ได้เข้าเป็นสมาชิกของ Geological Society ด้วยการเป็นสมาชิกที่ดีของสมาคมทำให้ Lyell ได้รับเลือกเป็นเลขานุการในอีก 3 ปีต่อมา

เมื่ออายุ 27 ปี Lyell ได้พบ Alexander von Humboldt และ George Cuvier การพบปราชญ์ทั้งสองได้ปลุกความสนใจด้านวิทยาศาสตร์ให้แก่ Lyell มาก จึงได้สมัครเป็นสมาชิกของ Linnean Society ด้วยการเป็นสมาชิกของสมาคมวิชาการ 2 สมาคมนี้ ทำให้อาชีพทนายความของ Lyell เริ่มมีปัญหา ครั้นเมื่อได้เดินทางไปสำรวจพื้นที่แถบ Bristol และ Land’s End กับ Louis Constant Prevost เขาก็รู้สึกชอบธรณีวิทยายิ่งขึ้นไปอีก จนสามารถเขียนบทความวิจัยลงในวารสาร Quarterly Review ได้ ซึ่งมีผลทำให้ Lyell ได้รับเลือกเป็น Fellow of the Royal Society เมื่ออายุเพียง 29 ปี จากนั้นได้ตัดสินใจเลิกอาชีพทนายความในอีก 2 ปีต่อมา เพื่ออุทิศตนให้ธรณีวิทยาอย่างเต็มตัว

ผลงานที่ยิ่งใหญ่ชิ้นแรกของ Lyell คือ ตำรา Principles of Geology ซึ่งปรากฏในปี 2373 ดังนั้น เมื่อ Lyell กลับจากการเดินทางไปเยอรมนี เขาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์ธรณีวิทยาแห่ง King’s College ในปี 2375 และได้รับเชิญไปบรรยายที่ Royal Institution บ่อย จนทำให้ได้รับเลือกเป็นนายกของสมาคม Geological Society คนแรกเมื่ออายุ 37 ปี

Lyell เดินทางไปศึกษาด้านธรณีวิทยาในต่างประเทศหลายครั้ง เช่น ไปสวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี สกอตแลนด์ และอเมริกาเหนือ ในปี 2395 ขณะเดินทางไปเยือน Nova Scotia ในแคนาดา Lyell ได้พบกระดูกของสัตว์บกในทะเล จึงได้เรียบเรียงผลการพบในหนังสือ Travels in North America ความมุ่งมั่นทำงานหนักติดต่อกันนานๆ ทำให้สายตาของ Lyell เริ่มเสียอีกเมื่ออายุได้ 54 ปี และความลำบากยุ่งยากในการเห็นนี้ได้ทรมาน Lyell มาก ในช่วง 10 ปีสุดท้ายของชีวิต

ในหนังสือ Principles of Geology นั้น Lyell ได้แสดงให้เห็นว่า ลม พายุทราย ธารน้ำแข็ง กระแสน้ำ และคลื่นสามารถเปลี่ยนแปลงผิวหน้าของโลกได้อย่างมโหฬาร และความรุนแรงนี้ได้มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และจะมีต่อไปในอนาคต ดังนั้น เนื้อหาหลักของความคิดนี้คือโลกมีการเปลี่ยนแปลงเชิงธรณีวิทยามาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ และด้วยความคิดนี้นี่เองที่ Darwin ได้ใช้เป็นพื้นฐานในการสร้างทฤษฎีวิวัฒนาการ ดังนั้นเมื่อ Lyell รู้ความคิดของ Darwin เรื่องวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เขาจึงเห็นด้วยและให้การสนับสนุน Darwin อย่างเต็มที่และเต็มใจ

Lyell คือ ผู้ที่บัญญัติคำ paleontology (บรรพชีววิทยา) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการศึกษาฟอสซิล และชีวิตดึกดำบรรพ์ โดยแบ่งยุคของโลกออกเป็น 3 ยุค คือ Pleiocene (เมื่อไม่นาน) Miocene (นาน) และ Eocene (นานมากแล้ว)

Lyell ได้รับเลือกเป็นนายกของสมาคม British Association ในปี 2407 และได้รับเหรียญทอง Copley ของสมาคม Royal Society จากการสร้างผลงานหนังสือเรื่อง Principles of Geology นอกจากนี้ก็ได้เป็นสมาชิกต่างชาติของ Institute of France และอีกหลายสมาคม Lyell ได้รับการโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่ง อัศวิน (Sir) เมื่ออายุ 51 ปี และเป็นบารอนเมื่ออายุ 67 ปี

ขณะมีชีวิตอยู่ Lyell ได้เขียนหนังสือไว้มากมาย นอกจากตำรา Principles of Geology ที่ได้รับการตีพิมพ์ถึง 12 ครั้งแล้ว ก็มีเรื่อง Elements of Geology, Travels in North America with Geological Observations, A Second Visit to the United States, Student’s Elements of Geology และ The Geological Evidence of the Antiquity of Man.

Lyell เสียชีวิตที่ลอนดอน เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2418 ขณะอายุ 78 ปี และศพถูกนำไปฝังที่มหาวิหาร Westminster

 หนังสือ The Origin of Species
ในการศึกษาประวัติชีวิตของ Lyell นักประวัติศาสตร์บางคนมีความเห็นว่า Lyell เป็นลูกคนรวยที่ประสบความสำเร็จด้านธรณีวิทยา โดยการนั่งเก้าอี้ คือ เขาแทบไม่ออกไปสำรวจภาคสนามเลย สำหรับประเด็นนั่งทำงานแต่ในห้องนั้นเราไม่ถือว่า เป็นข้อเสีย เพราะ Lyell นั่งแล้วมีผลงาน

และเมื่อเรามองย้อนไปถึงยุคที่ Lyell ทำงาน เราก็จะเห็นว่าในสมัยนั้น สถาบันศาสนาเข้มงวดมาก และผู้คนมักคิดว่าความรู้ต่าง ๆ ถูกเขียนบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลหมดแล้ว เช่น ว่า พระเจ้าสร้างโลกเอกภพ และสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ฯลฯ ด้วยเหตุนี้นักธรณีวิทยาที่ไม่ต้องการศัตรู จึงสอนวิชาศาสนา และวิชาธรณีวิทยาตามที่เขียนไว้ในไบเบิลเช่นว่า ภูเขาสามารถอุบัติได้ในวันเดียว และเหตุการณ์น้ำท่วมจะทำลายความไม่สมดุลของสิ่งมีชีวิตบนโลก ฯลฯ

ตำรา Natural History ของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง โดย Lamarck
แต่เมื่อถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 นักชีววิทยาได้เริ่มเห็นซากฟอสซิลในชั้นหินต่างๆ มากขึ้นๆ และได้เห็นชัดว่า ซากเหล่านั้นเป็นของสัตว์ที่ได้สูญพันธุ์ไปนานแล้ว หลายคนจึงคิดว่า โลกในแต่ละยุคที่ผ่านมามีสัตว์ที่ไม่เหมือนกัน บางชนิดไม่เคยมีมาก่อน และบางชนิดได้สาบสูญไป ซึ่งขัดแย้งกับคำสอนในไบเบิลที่ว่า ไม่มีสัตว์อะไรที่สูญพันธุ์ James Huttonเป็นนักธรณีวิทยาผู้ซึ่งเสียชีวิตไปก่อนที่ Lyell จะเกิด 15 ปี ได้เคยเขียนชี้แจงว่า สิ่งต่างๆ ที่ทำให้ผิวโลกเปลี่ยนแปลงเป็นภูเขา แม่น้ำ หรือหุบเหวนั้น ไม่ได้สาบสูญไปไหน แต่ยังอยู่บนโลก และจะทำให้ผิวโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ แต่ความคิดนี้ของ Hutton ไม่มีใครสนใจ หลายคนกลับรุมประณามว่า Hutton เป็นคนนอกรีตLyell ซึ่งได้สร้างผลงานหลัง James Hutton 50 ปี โดยมีข้อมูลมากกว่าผลงานของ Hutton รวมถึงมีลีลาการเล่าและเขียนที่น่าเชื่อถือมากกว่า Hutton เองก็ได้กล่าวยืนยันว่า พลังแรงที่เปลี่ยนแปลงโลกยังมีอยู่ และมนุษย์สามารถศึกษาพลังแรงเหล่านี้ได้ด้วยกระบวนการวิทยาศาสตร์ เมื่อความคิดของ Lyell เป็นที่ยอมรับ เขาก็เป็นนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญคนหนึ่งของอังกฤษ ผู้ที่รู้วิชานิเวศวิทยาดี แต่ไม่รู้ว่าระบบนิเวศต่างๆ มีอิทธิพลต่อสิ่งมีชีวิตเพียงใด ดังนั้น เมื่อ Darwin เขียน Origin of Species ในปี 2402 Lyell ที่ไม่เห็นด้วยกับ Darwin ในตอนแรกโดยได้พยายามหาฟอสซิลของสัตว์ทุกชนิดในหินมาขัดแย้ง แต่เมื่อเห็นฟอสซิลเขาจึงรู้ว่าสิ่งมีชีวิตมีการวิวัฒนาการจริง จากนั้น Lyell ก็ได้ยอมรับทฤษฎีวิวัฒนาการของ Darwin และได้เขียนการยอมรับนี้ในหนังสือ Principles of Geology ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 เมื่อเขาประจักษ์ว่า Darwin ได้ใช้หลักของ Lyell เองที่ว่า ดินฟ้าอากาศที่เปลี่ยนแปลงจะสามารถทำให้สัตว์บางชนิดสูญพันธุ์ได้ นั่นคือ กระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (Natural Selection) เป็นสาเหตุที่ทำให้สิ่งมีชีวิตมีวิวัฒนาการ ในหนังสือ Principles of Geology นั้น Lyell ยังได้แสดงให้เห็นว่า การทำลายสปีชีส์ของสิ่งมีชีวิตเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ สิ่งมีชีวิตใดที่อุบัติแล้วจะต้องปรับตัวให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม และจะไม่ยินยอมให้สิ่งมีชีวิตอื่นเข้ามารุกรานพื้นที่ของมัน แต่ Lyell มิเข้าใจว่า เมื่อสภาพภูมิศาสตร์เปลี่ยนแปลง สิ่งมีชีวิตรูปแบบใหม่จะเกิดขึ้นได้อย่างไรดังนั้น ในภาพรวม ความเห็นเรื่องประวัติความเป็นมาของสิ่งมีชีวิตในทัศนะของ Lyell มิได้ผิดเต็มประตู เพียงแต่ไม่สมบูรณ์ และ Lyell เองก็ตระหนักในความบกพร่องนี้ เพราะเขารู้ดีว่า ปัญหานี้ซับซ้อนมาก แต่ Lyell ก็ได้สรุปว่า สิ่งมีชีวิตทุกสปีชีส์ ใช่ว่าจะอยู่ค้ำโลก แต่จะสูญพันธุ์ไปบ้าง และปรับตัวบ้างเมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยน ส่วนจะมากหรือน้อยเพียงใดก็ขึ้นกับสปีชีส์นั้นๆ

ความคิดของ Lyell เช่นนี้มีอิทธิพลต่อ Charles Darwin และ Alfred Russel Wallace ทั้งๆ ที่ Lyell เป็นนักกฎหมาย แต่เขาก็ใช้ตรรกะและหลักฐานในการสร้างความคิดใหม่ ๆ ทางวิทยาศาสตร์ Lyell ได้เน้นเรื่องการสร้างความรู้โดยอาศัยการสังเคราะห์ความจริงต่างๆ ให้สามารถใช้ได้ในกรณีทั่วไป ทั้ง Darwin และ Lyell ไม่ชอบสนใจเรื่องเล็กๆ แต่ชอบคิดเรื่องใหญ่ๆ โดยพยายามรวบรวมหลักฐานมากมายมาพิสูจน์ยืนยัน Lyell ได้เคยเตือน Darwin ว่าไม่ควรถกเถียงเรื่องหยุมหยิม เพราะจะทำให้เสียเวลาและความรู้สึก และทุกครั้งที่ Darwin มาหา Lyell จะแนะนำและให้ข้อคิด เช่นเมื่อ Darwin ตระหนกตกใจที่เห็นรายงานการพบทฤษฎีวิวัฒนาการของ Wallace ซึ่ง Lyell กับ Hooker ก็หาทางออกให้ โดยการให้เสนอบทความทางวิชาการของคนทั้งสองพร้อมกัน

ดังนั้น Darwin กับ Wallace จึงเปรียบเสมือนศิษย์ของ Lyell ผู้ได้ใช้ตำรา Principles of Geology ในการชี้นำความคิดของคนทั้งสอง

เมื่อภรรยาของ Lyell ตายในปี 2418 Lyell รู้สึกเหมือนได้สูญเสียเพื่อนที่ดีที่สุด เขามีชีวิตอยู่ต่อจากนั้นอีก 2 ปี และก่อนตายเพียงเล็กน้อย Lyell ได้เขียนจดหมายถึง Ernst Haeckel ทำนองน้อยใจว่า นักชีววิทยาส่วนมาก จำความรู้ที่ปรากฏในช่วงเวลาระหว่าง Lamarck กับ Darwin ไม่ได้เลย ซึ่งก็จริง แต่ทุกวันนี้นักประวัติศาสตร์ได้ยอมรับแล้วว่า Lyell คือ บุคคลหนึ่งที่ได้ทำให้ Darwin เป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ และในส่วนของ Darwin เอง เขาก็เคยกล่าวถึง Lyell ว่า ความยิ่งใหญ่ของตำรา Principles of Geology คือการอ่านหนังสือเล่มนี้ได้ทำให้ความนึกคิดของผู้อ่านเปลี่ยน และแม้คนคนนั้นจะเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่ Lyell ไม่เคยรู้ แต่เขาก็เข้าใจได้โดยอาศัยความคิดบางส่วนของ Lyell นั่นเอง

ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์ 11 กันยายน 2552
ข้อมูลเพิ่มเติม
บทความที่เกี่ยวข้อง